ภาพ ผลงาน “กัลปพฤกษ์สิริมงคล” นี้อาจารย์สมศักดิ์บอกว่าวาดจากความประทับใจ ณ ครั้งแรกที่ได้มาเยือนสถาบันผู้นำ ได้เห็นต้นกัลปพฤกษ์ที่ปลูกไว้ในสถาบันผู้นำ ออกดอกสวยงาม ขาว ชมพูโพลนไปหมดและต้นกัลปพฤกษ์ถือเป็นไม้มงคล1ในไม้มงคล 9ชนิดที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง ชั่วกัปชั่วกัลป์ อาจารย์จึงวาดภาพนี้ด้วยจุดมุ่งหมายให้ผู้ที่ได้เห็นภาพเกิดความประทับใจในความสวยงามของดอกกัลปพฤกษ์ในสถาบันผู้นำ และต้องการบอกให้ผู้ได้เห็นภาพนี้รับรู้ว่าต้นกัลปพฤกษ์เป็นยิ่งกว่าไม้มงคล เพราะกัลปพฤกษ์ แปลว่าพฤกษาหรือพันธุ์ไม้ที่มีความเป็นสิริมงคล เป็นมากกว่าไม้มงคล แต่เป็น “ไม้สิริมงคล” เพราะลึกซึ้งกว่า ดีกว่า สวยกว่า เหมือนบทกวี ฟังแล้วละมุมละม่อมมากกว่า คำว่ามงคลอาจแค่ชั้นเดียว แต่สิริมงคลมากกว่าชั้นเดียว เป็นภาษาทางวรรณศิลป์ กัลปพฤกษ์ กัลป์แปลได้ว่ากัลปาวสานหรือแปลว่าชั่วฟ้าดินสลาย อยู่กับแผ่นดินจนกว่าโลกจะสลาย ส่วนพฤกษ์คือพฤกษาซึ่งลึกซึ้งกว่าคำว่าต้นไม้ พฤกษาจะมีกลิ่นอบอวล พฤกษาเป็นกวีกว่า เพราะต้นไม้เป็นเอกพจน์ แต่พฤกษาเป็นพหูพจน์จะมีความรู้สึกเป็นอารมณ์มากกว่า มีความกลมกล่อม ละมุนละม่อมกว่า จึงตั้งชื่อภาพนี้ว่า “กัลปพฤกษ์สิริมงคล”

ภาพนี้ สะท้อนถึงความตั้งใจ ใส่ใจและทุ่มเท เพราะปกติภาพทั่วไปที่อาจารย์วาดจะใช้พู่กันแต้มหมื่นครั้ง แต่รูปนี้ใช้พู่กันแต้มถึงแสนครั้ง ถี่ยิบ แล้วซ้อนสี ซ้อนๆ เพื่อให้ความรู้สึกว่าดอกมันฟุ้งกระจาย ดอกกัลปพฤกษ์ ถ้าดูผิวเผินดอกนิดเดียว เป็นพวง พอมันเป็นพวง โดนแดดดอกจะออกระยิบระยับแบบฟุ้งๆและบางทีมีแมลงบ้าง อะไรบ้าง และนอกเหนือจากฟุ้งแล้ว ภาพเหมือนมีกลิ่นออกมา เป็นอารมณ์แบบนั้น รูปนี้จึงดูระยิบระยับ เหมือนดอกไม้มันฟุ้ง แต่ก็ยังมีความเป็นพุ่มเป็นพวง

อาจารย์สมศักดิ์บอกว่าภาพนี้มีความหมายที่ต้องการบอกว่า การที่ซีพีนำต้นกัลปพฤกษ์ที่เป็นไม้สิริมงคล ไม้แห่งความเจริญรุ่งเรืองมาปลูก จึงอยากให้บริษัทซีพีมีความเจริญรุ่งเรืองไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ชั่วฟ้าดินสลาย ให้อยู่คู่กับแผ่นดิน อยู่กับโลกให้เหมือนกับต้นไม้สิริมงคลกัลปพฤกษ์ที่เป็นพฤกษาที่มีความสุขชั่วกัปชั่วกัลป์ บริษัทซีพี มีความเจริญรุ่งเรืองชั่วกัปชั่วกัลป์ และยังต้องการให้ภาพนี้ทำหน้าที่ตอบสนองผู้คนที่เข้ามาประชุมได้ผ่อนคลายจากการถกเถียงพูดคุยใช้สติปัญญา ได้ออกมาพบกับงานศิลปะ ธรรมชาติที่ผ่อนคลาย เติมพลังจากความสวยงามของดอกกัลปพฤกษ์ที่บานสะพรั่งอยู่ในสถาบันแห่งนี้ ประการสุดท้าย ภาพนี้อยากสะท้อนถึงการที่ซีพีให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ไม่ลืมสิ่งแวดล้อม ที่นี่อยู่ใกล้เขาใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมที่เป็นสีเขียว เป็นธรรมชาติ ต้องรักษาสิ่งแวดล้อมภายในและรักษาสิ่งแวดล้อมเขาใหญ่ไว้ให้มีความสมบูรณ์ที่สุด แม้ว่าจะมีการสร้างอาคาร แต่ซีพีไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซีพีรักโลก รักสิ่งแวดล้อม

เบื้องหลังการสร้างสรรค์ผลงาน

อาจารย์สมศักดิ์เล่าถึงเบื้องหลังการทำงานว่าการสร้างงานศิลปะครั้งนี้ของอาจารย์ที่ทำให้กับสถาบันผู้นำ

ทำจากสิ่งที่ซีพีเป็น สิ่งที่ซีพีมี เห็นความสำคัญในสิ่งที่ซีพีมี ซีพีเป็น อาจารย์แค่มาทำให้มีความสมบูรณ์ให้มีความกลมกล่อม ให้มันเป็นเรื่องราวเดียวกันแล้วถ่ายทอดออกมาผ่านงานศิลปะ

สำหรับผลงานนี้อาจารย์บอกว่าใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน แต่ว่าไม่ได้ทำทุกวัน เป็นการทำสลับกันไป ระหว่างงานภาพชุดเทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ที่ติดตั้งในสถาบันผู้นำแห่งนี้ ระหว่างที่ผมวาดภาพชุดในหลวงรัชกาลที่ 9 และ 10 เวลาเหนื่อยล้า ก็จะหยุดเพราะพอเริ่มเครียด งานจะจริงจัง จะสลับมาวาดรูปกัลปพฤกษ์ เปรียบเหมือนประชุมเครียดๆมาเจอดอกไม้ ก็รู้สึกรีแลกซ์ เหมือนชาร์จแบต และกลับกลายเป็นเพลินไปอีก พอเพลินไปก็หยุด พอแล้ว สดใส่แล้ว ผลงานกัลปพฤกษ์สิริมงคลกับภาพชุดในหลวงรัชากาลที่ 9 และ 10 จึงทำคู่ขนานไปด้วยกันแต่เสร็จก่อนเพราะเป็นงานชิ้นเดียว

งานชิ้นนี้ใช้เทคนิคสีน้ำมัน โดยอาจารย์สมศักดิ์บอกว่าใช้สีที่มากกว่า เพราะเป็นภาพที่ซ้อนกัน ภาพชุดในหลวงรัชากาลที่ 9 และ 10 จะเนี้ยบและเนียน เป็นเรื่องของแสง เงา มีมิติ แต่กัลปพฤกษ์จะมีบรรยากาศ มีความลึกเหมือนเข้าไปอยู่ในบรรยากาศจริง รูปกัลปพฤกษ์สิริมงคลจะให้ความบันเทิง แต่รูปภาพชุดในหลวงรัชกาลที่9และรัชกาลที่ 10 จะให้ความรู้ เป็นวิชาการ เป็นเนื้อหา

ประวัติศิลปิน

อาจารย์สมศักดิ์ รักษ์สุวรรณ

เกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2505

จบการึกษาปวช. วิทยาลัยศิลปหัตถกรรม นครศรีธรรมราช และ ศบ.(จิตรกรรม) มหาวิทยาลัยศิลปากร

ศิลปากร เป็นจิตกรชาวตรัง ผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถ มีผลงานแสดงในนิทรรศการศิลปกรรมมากมาย ผลงานโดดเด่นของอาจารย์เป็นภาพวาดสีน้ำมันที่สะท้อนเรื่องราวของบ้านเมือง และการแสดงออกทางความคิดแบบตรงไปตรงมา ไม่เพียงบทบาท ในวงการศิลปะ ยังเป็นทั้งอาจารย์พิเศษ และเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงต่อสถานภาพของศิลปินในประเทศโดยเป็นแกนนำในการจัดตั้งและปัจจุบันยังควบตำแหน่งเป็นถึงนายกสมาคมศิลปินทัศนศิลป์นานาชาติแห่งประเทศไทย ซึ่งมีผลงานโดดเด่นคือการรวมศิลปินมาจัดนิทรรศการครั้งใหญ่ เพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนทางศิลปะให้เกิดขึ้นกับสังคมในวงกว้าง